16 กันยายน 2553

บทกวี  บทเริ่มต้น...
ก่อนจดหมายจะเดินทาง
ปลายทางอยู่ข้างหน้า           สุดสายตาจะแลถึง
มีจิตคิดคำนึง                                    ใฝ่ฝันถึงจึงก้าวเดิน
            อุปสรรคจักขวางกั้น      มิหวาดหวั่นกล้าเผชิญ
ปลายทางมิห่างเหิน                         ที่จะเดินจะก้าวไป
            มีสิ่งผิด........                           จงเร่งคิดเร่งแก้ไข
เพิ่มพูนกำลังใจ                                 ก้าวต่อไปให้ถูกทาง
            และแล้วจะชนะ             อย่าเลยละและเลือนลาง
สุดท้ายถึงปลายทาง             จะสมหวังดังตั้งใจ ฯ

จดหมายฉบับที่ ๑
ตอน  สถาบันที่รัก
ถึง สามเณรนักเรียน โรงเรียนวัดไผ่ดำ  ที่น่ารักทุกรูป
วัน ศุกร์ ที่ ๒๐ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓
              เวลา ๐๘.๐๐ น. (แปดโมงเช้าของอินเดีย)
ตั้งใจจะเขียนจดหมายมาหลายครั้งแล้ว แต่จังหวะและเวลายังไม่ ลงตัว  ก็เลยได้แต่ใช้ความรู้สึกขับเคลื่อนแทนการจรดปากกาด้วยหมึก     สีสวยและกระดาษมหัศจรรย์แผ่นเล็กๆ
เอาเหอะ จะด้วยเหตุผลผลใดก็แล้วแต่  เอาเป็นว่าตอนนี้อาจารย์ได้มีโอกาสที่ดี ที่จะได้บรรเลงความรู้สึกดีดี ด้วยหมึกปากกา และกับเจ้ากระดาษแผ่นงามนี้
สำหรับอาจารย์ก็สบายดี ร่างกายแข็งแรงดี การเรียนก็ดี หน้าตาก็ดี(ดูดี) การเรียนแม้จะหนักหน่อย แต่ก็ไม่ท้อหรอก ลูกศิษย์ที่วัดไผ่ดำขยันเรียน ตั้งใจเรียน อาจารย์จะคร้านได้ไง  ต้องแข่งกันเรียนหน่อย เดี๋ยวสู้น้องเณรไม่ได้ นี่ก็เดือนมิถุนายนแล้ว วันที่ ๒ กรกฎาคม เป็นวันที่เริ่มต้นอายุ ๓๑ ของอาจารย์ วันเกิดพอดี (ฮา) เวลาผ่านไปเร็วนะ จนบางครั้งก็น่าใจหาย กับวันเวลาที่หายไป ก็อยากจะจบเร็ว ๆ เพื่อจะได้มาทำหน้าที่ แต่ด้วยกฎกติกาของทางมหาวิทยาลัย  ทุก ๆ สัปดาห์แรกของแต่ละเดือน ในระยะเวลา ๓ เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม ก็เลยต้องเตรียมตัวนำเสนองานให้สมบูรณ์     ที่สุด  ก็เลยต้องผิดคำพูดกับเพื่อนครูอาจารย์ เฮ้อ...ชีวิต แต่ปีนี้จบพันเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เคยฝันไว้ หากเราหมั่นดูแลเอาใจใส่ ตั้งใจทำให้สมกับที่เราฝัน มันก็ไม่ยากเกินกว่าที่เราจะได้หรอกนะ ที่สุดแล้วเราจะรู้สึกภูมิใจกับมัน โดยที่เราไม่อาจบรรยายความรู้สึกนี้ให้ใครต่อใครฟังได้หมด อย่างที่เรารู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำและได้รับหรอก แต่การที่อาจารย์ ได้รับโอกาส และได้มีโอกาสดีอย่างนี้ก็เพราะอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ของพระศาสนา อาศัยบารมีของสถาบันเรา วัดไผ่ดำของเรา พ่อแม่ครูบาอาจารย์มิตรผู้มากด้วยน้ำใจ อย่างที่ไม่เคยสงสัยในความดีของเขาเหล่านั้นเลย
สามเณรลองคิดดูนะว่า วัดไผ่ดำของเรานี้ สร้างคนมาเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ผลผลิตก็คือ เราได้คนดีสู่สังคม คงเข้าใจคำว่า “คนดีน่ะ” ฉะนั้นแล้วอย่าไปเปลืองสมองเครียดคิดมาก ว่าทำไมเราเรียนไม่เก่ง ทำไมเราถึงสมองไม่ค่อยดีเหมือนคนอื่นเขา นั่นไม่สำคัญหรอก เหนือสิ่งอื่นใด เราทำหน้าที่เราของให้ดีให้สมบูรณ์ บ่มเพาะสิ่งดีงามจากสถาบันนี้  เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราได้ นั่นแหละคือสิ่งที่มีค่ากว่าคำว่าเก่ง หรือเรียนดีหามีคุณธรรมไม่
สิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ผู้อยู่ในวัดไผ่ดำควรที่จะภาคภูมิใจ  ไม่ต้องปัญญาอ่อน  น้อยใจ เสียใจที่มาเรียนที่นี่ !
สามเณรควรที่จะรู้ว่ามีความสำเร็จ อีกมากมายที่รอการผลิบานในไม่ช้านี้ ไม่ต้องไปมองไกลตัวหรอกหนึ่งในนั้นก็ตัวสามเณรเองมิใช่หรือ  อ.หอมหวล ,    อ.สิงห์คำ , อ.ไพโรจน์ ไม่ได้เรียนในมหาลัย  ที่มีชื่อเสียง ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ท่านเหล่านี้ ก็สามารถจบปริญญาเอกได้มิใช่หรือ.....และท่านก็เป็นลูกชาวนาเหมือนกับเรา
เรามีทุกอย่างครบ ทำไมไม่ลองฝัน แล้วทำมันดูบ้างหละ ฝันเถอะแม้จะเป็นฝันเล็ก ๆ ก็ตาม.....
ทวนกลับอีกครั้งกับความรู้สึกน้อยใจ ในสิ่งที่เรามี ในสิ่งที่เราเป็น บุคคลประเภทนี้ จะไม่มีความสุขในชีวิตเลย คนในประเทศเอธิโอเปีย ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว เขาทานถึง ๕ คน คนบนโลกนี้หลายแสนล้านคนที่เขาลำบาก ที่เราเป็นอยู่เหรอ สุขสบายกว่าเขาหลายพันเท่า...ดังนั้นแล้วอย่าไปเปลืองสมองเรื่องที่ไม่มีสาระ
ลองมองในทางบวกสิ.  เรามีห้องสมุดที่มากด้วยตำรับตำราอาคารห้องสมุดก็ใหญ่โต สะอาดเป็นระเบียบ จะนั่งอ่านหนังสือที่ระเบียง มุมท้องทุ่ง ก็แสนจะสงบเงียบ จะกวาดสายตาหลังจากอ่านหนังสือเพื่อพักสายตา ก็เห็นธรรมชาติเป็นทิวทุ่งสีเขียว เจริญตาเจริญใจ กว่าดูตึกสูงสูงมิใช่หรือ รู้ใหมว่าคนในเมืองกรุงเขาโหยหาธรรมชาติอย่างเราอยู่ลและอีกอย่างเมื่อเราอยากได้หนังสือ กลับไปอ่านที่ห้องก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย คุณธรรมประการหนึ่งก็คือจะต้องยืม เรามีเจ้าหน้าที่แสนสวยใจดี ประหนึ่งนางฟ้า ลงมาจากภูเขาหิมาลัย  คอยบริการอยู่อำนวยความสะดวก คนที่ขโมย หรือ ฉีกหนังสือ หรือแม้แต่ทำลายด้วยการขูดขีดเขาเหล่านั้นน่าจะรู้สึกละอาย และเห็นใจสถาบันที่มีคนไม่มีจิตสำนึกพยายามทำลายสถาบันของเขาเอง (น่าสงสารคนโง่เหล่านั้น)
ในทางบวกอีกเช่นกัน เรามีตึกใหม่ที่สวยงามสี่ชั้น เป็นที่พักอาศัย เรามีอาคารเรียนที่สวยงาม อาณาบริเวณที่กว้างขวาง โต๊ะเรียนไม้สักอย่างดี
เรามีคุณครูที่เสียสละ ที่มีคุณธรรมที่รักเราเหมือนลูกเหมือนหลาน เราอยากจะให้  คุณครูเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากจะให้เป็น คุณครูก็เป็นให้เรามิใช่หรือ !
ก็ในเมื่อเรามีอย่างนี้ สมบูรณ์แล้ว ยังมีอะไรอีกหละ ที่เป็นโจทย์ให้เราหนักใจ นอกเสียจากว่า เราจะตั้งใจเรียนเอาใจใส่เต็มทื่และดูแล ช่วยกันรักษาบ้านของเราให้ดี ยังไง ก็บ้านของเรา
สามเณรรู้ไหมว่า อวัยวะในร่างกายของเรานี้นะ ถ้าเราดูแลดีหมั่นดูแลรักษาบำรุงด้วยพืชผัก ทั้ง ๕ หมู่  และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ร่างกายของเรา   อวัยวะของเราก็จะอยู่กับเราได้นาน    แต่ตรงกันข้าม ถ้าเรานำสิ่งที่เป็นโทษ เช่น สูบบุหรี่ หรือ เสพยาเสพติด พิจารณาดูละกันว่า ร่างกายของเราจะเป็นอย่างไร!
ฉันใดก็ฉันนั้น อาคารเรียน ห้องเรียน โต๊ะเก้าอี้ไม้สัก หรือสิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ หากเราดูแลรักษา ก็จะเหมือนกับร่างกาย มันจะอยู่ได้อีกนานจากรุ่นสู่อีกรุ่น ไม่ต้องมองไกลหรอก รูปที่มีพี่หรือญาติเรียนที่นี่จบไปหลายปีแล้ว ตอนนี้มาถึงรุ่นเราๆ ก็ยังได้ใช้อาคารเรียน เราก็ยังได้ใช้โรงครัว วิหาร และแม้แต่ห้องน้ำ อบต. ก็ยังได้ใช้
ก็ในเมื่อมันให้คุณกับเราอย่างนี้ จะเกิดประโยชน์อะไรจากการที่เราทำลายมัน !
อ.พระมหาสำราญ  อ.ปราโมทย์  อ.พระมหานิกร  อ.ธนธร  ท่านไม่ได้เรียนมัธยมที่นี่แต่ก็รักที่นี่ เหมือนลูกหม้อ เหมือนบ้าน
ในทางเดียวกัน ต่อให้ สามเณรเรียนที่นี่สักสิบปี หรือเป็นลูกหม้อหากไม่รักบ้านของเรา ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย
พูดถึงบ้านเกิดแล้ว ทำให้นึกถึงชีวิตของตัวเองเมื่อวัยเยาว์ผลิบาน เมื่อสมัยที่อยู่ในความยากลำบาก ตอนเรียนมัธยมต้น-ปลายเวลาที่เกิดความเบื่อหน่าย หรือเกิดความท้อแท้ในการเรียนหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง เวลาที่คิดถึงเรื่องราวของตัวเองก็ทำให้เกิดพลังอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หัวใจไม่ยอมแพ้ ทำให้พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นใจ เรื่องราวอะไรหนอที่ทำให้ตัวของอาจารย์คิดถึงขึ้นมาคราใดในช่วงที่เรียนมัธยมต้นและปลายแล้วช่วยต่อเติมความฝัน ทำให้เกิดพลังอย่างที่เรียกว่า พลังมหัศจรรย์ก็ว่าได้......
อ๋อเกือบลืมไป..  ขอแสดงความยินดีกับสามเณรที่สอบบาลีได้ทุกรูป   ยินดีด้วยจริง ๆ  ส่วนรูปที่สอบตกก็อย่าเสียใจ อย่าใจเสีย อ.ปราโมทย์ อ.ทวี จะสอบเป็นเพื่อนในปีต่อไป ดูสิว่าใครจะได้ก่อนใคร ?
อย่าลืมนะว่า  ยามที่ไฟฟ้าดับ  แสงตะเกียงก็ช่วยเราได้
                                                                    คิดถึงลูกศิษย์
                                                                                 พระอาจารย์ทวี  จิตฺตคุตฺโต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น